ช่วงไม่กี่วันมานี้ การปะทะคารมระหว่างจีนและสหรัฐฯ มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น โดยเมื่อวันที่ 23 มีนาคม นายไมก์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เมื่อเทียบกับที่ผ่านมา จีนเปิดเผยและโปร่งใสมากขึ้นในการพยายามสู้กับโควิด-19 ในวันเดียวกัน นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์ลงทวิตเตอร์โดยใช้คำว่า “ไวรัส” กล่าวถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลีกเลี่ยงคำว่า “ไวรัสจีน” ที่เคยใช้มา

ทั้งนี้ ตั้งแต่นายทรัมป์ใช้คำว่า “ไวรัสจีน” ได้มีรายงานข่าวมากมายเกี่ยวกับการที่ชาวสหรัฐฯ เชื้อสายจีนและชาวจีนโพ้นทะเลถูกคุกคามและกลั่นแกล้งตามถนน หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ได้รายงานว่า มีชาวสหรัฐฯ เชื้อสายเอเชียชาติอื่นถูกข่มขู่ด้วย เพราะแยกไม่ออกว่าไม่ใช่เชื้อสายจีน

นายทรัมป์ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เว็บไซต์สำนักข่าววอกซ์ระบุว่า กลุ่มผู้ลงคะแนนเสียงชาวสหรัฐฯ เชื้อสายเอเชียกำลังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต กำลังพยายามขอเสียงจากพวกเขา ซึ่งสำนักข่าวเอ็นบีซีระบุว่า คนกลุ่มนี้สามารถตัดสินว่าใครจะเป็นผู้ชนะในบางพื้นที่ด้วย

อีกด้านหนึ่ง สหรัฐฯ ไม่มีเวชภัณฑ์เพียงพอที่จะรับมือกับสถานการณ์โรคระบาด นายแอนดรูว คัวโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก กล่าวกับรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างเปิดเผยว่า เว้นเสียแต่ว่าจะส่งเครื่องช่วยหายใจมากขึ้นสู่นิวยอร์ก มิเช่นนั้นก็จะมีประชากร 26,000 คนต้องนอนรอความตาย สหรัฐฯ เป็นประเทศผู้ซื้อเวชภัณฑ์ทางแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดของจีน ในช่วงเวลาแบบนี้ การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนมีความสำคัญมาก แถมจีนก็ได้แสดงเจตนารมณ์ที่ยินดีช่วยเหลือผู้ที่มีความต้องการด้วย

การวิจัยวัคซีนและการควบคุมโรคระบาดต้องใช้เวลานาน จำต้องมีการสนองเวชภัณฑ์และยาที่มั่นคง ซึ่งหมายความว่า สองประเทศควรรักษาไว้ซึ่งความสัมพันธ์ทางการที่มั่นคง (Yim/Chu/Zi)